Date

“สเต็มเซลล์” ตัวช่วยแห่งการชะลอวัย

ไม่ว่าใครต่างก็อยากให้ตนเองดูดี ผิวหน้าอ่อนกว่าวัย ไร้ริ้วรอย ความหมองคล้ำ จุดด่างดำจางลง เติมเต็มความมั่นใจยิ่งกว่าเคย นอกจากวิธีดูแลตนเองขั้นพื้นฐาน เช่น ทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ ทาครีมบำรุง ครีมกันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงจัดตอนช่วงกลางวัน หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทำหัตถการถือเป็นอีกคำตอบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และหนึ่งในเทคนิคที่แพทย์นำมาใช้ต้องยกให้กับ “การฉีดสเต็มเซลล์” ซึ่งหลายคนอาจยังมีข้อสงสัยว่าสเต็มเซลล์ คืออะไร ผลลัพธ์ ผลข้างเคียงเมื่อตัดสินใจเลือกชะลอวัยด้วยวิธีนี้ตอบโจทย์มากน้อยแค่ไหน ทุกคำถามที่อยากรู้ เราเตรียมข้อมูลเพื่อตอบคำถามคุณที่นี่แล้ว

สเต็มเซลล์ คืออะไร

ลำดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าในร่างกายของคนเราอัดแน่นไปด้วย “เซลล์” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีมากกว่า 50-100 ล้านล้านเซลล์รวมตัวกัน ก่อให้เกิดเป็นอวัยวะและทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป เช่น เซลล์ประสาท เซลล์ผิวหนัง เซลล์ปอด เซลล์กระดูก ฯลฯ

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเซลล์เหล่านี้ก็จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา อายุขัย และผลข้างเคียงจากการใช้ชีวิต ยกตัวอย่าง เซลล์ผิวหนังจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่ายที่สุดเพราะมองเห็นได้ภายนอกร่างกาย วงการแพทย์ด้านความสวยความงามจึงพยายามคิดหาวิธีเพื่อช่วยชะลอวัยให้เซลล์ดังกล่าวยังคงเต่งตึง แลดูน่ามองอยู่เสมอ “สเต็มเซลล์” จึงถือเป็นตัวเลือกที่ผ่านการคิดค้น วิจัย และนำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือ เซลล์ต้นกำเนิดที่ยังไม่ได้มีหน้าที่จำเพาะเจาะจงใด ๆ จึงพร้อมที่จะเติบโตเมื่อได้รับการกระตุ้น เมื่อเข้าสู่ร่างกายเซลล์ดังกล่าวจะถูกสั่งการให้ทำงานแบบเฉพาะเจาะจงและมีการเจริญเติบโตร่วมกับเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ จนแทบเป็นเซลล์เดียวกัน ช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์ที่เคยเสื่อมสภาพให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ

ด้วยเหตุนี้แวดวงความสวยความงามจึงนิยมใช้สเต็มเซลล์หน้าใสเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวคงความอ่อนเยาว์ แลดูเด็กลงจนใครก็ต้องสังเกตเห็น ซึ่งราคาในการฉีดสเต็มเซลล์แต่ละครั้งจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยแต่โดยทั่วไปแล้วไม่ต่ำกว่าหลัก 40,000 – 50,000 บาท

สเต็มเซลล์มีแหล่งที่มาจากไหนบ้าง

โดยทั่วไปแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แห่งใหญ่ ๆ ประกอบด้วย

● ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่โตเต็มวัย
ภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่โตเต็มวัย เช่น เนื้อเยื่อไขมัน ไขกระดูก เลือด ผิวหนัง ตับอ่อน ซึ่งบริเวณไขกระดูกจะถือว่าเป็นแหล่งสเต็มเซลล์สำคัญเนื่องจากมีปริมาณเยอะ ลักษณะอ่อนนุ่ม มีโพรง ส่วนใหญ่พบที่แกนกลางบริเวณกระดูกท่อนใหญ่ เช่น กระดูกเชิงกราน กระดูกแขน-ขา สเต็มเซลล์ชนิดนี้จะเติบโตและพัฒนาเฉพาะอวัยวะส่วนนั้น ๆ

● เลือดหรือเนื้อเยื่อสายสะดือ
เลือดหรือเนื้อเยื่อสายสะดือ หรือการเก็บสเต็มเซลล์จากตัวอ่อนของมนุษย์ เป็นอีกแหล่งที่มาซึ่งมีปริมาณสเต็มเซลล์อยู่เยอะไม่แพ้กัน ส่วนใหญ่พบได้หลังมีการปฏิสนธิ 3-5 วัน แบ่งจำนวนเซลล์ได้แบบไม่จำกัด ใช้งานกับเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้ทุกอวัยวะ เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดา แพทย์จะตัดรกที่ติดกับสายสะดือออก จากนั้นจึงเจาะเอาเลือดจากสายสะดือที่ติดกับรกเก็บไว้สำหรับใช้งานสเต็มเซลล์โดยไม่ส่งผลใด ๆ กับตัวทารกทั้งสิ้น

คุณสมบัติของสเต็มเซลล์กับประโยชน์ที่นำมาใช้งาน

ด้วยคุณสมบัติของสเต็มเซลล์กับการเป็นเซลล์ต้นกำเนิดแต่ยังไม่มีหน้าที่ใด ๆ ดังนั้นเมื่ออวัยวะใดก็ตามได้รับสเต็มเซลล์เข้าไปก็จะช่วยให้เกิดการเติบโตที่ดีขึ้น สามารถทดแทนเซลล์เก่าของร่างกายที่เสื่อมสภาพหรือเสียหายได้ ช่วยให้สามารถกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตามเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมได้มากที่สุด

ประโยชน์ของสเต็มเซลล์จะมีการนำมาใช้กับวงการแพทย์เพื่อรักษาโรคเป็นลำดับแรก เช่น สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันที่ใช้รักษาโรคแพ้ภูมิตัวเองหรือโรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น หรือการนำสเต็มเซลล์มาวิจัย ทดลอง และพัฒนาตัวยาใหม่ ๆ สำหรับการรักษาโรค ขณะที่วงการความสวยความงามก็มักนิยมใช้สเต็มเซลล์ชะลอวัย ดูแลผิวพรรณด้วยเช่นกัน

สเต็มเซลล์ชะลอวัย ประโยชน์ดี ๆ ด้านความงาม

อย่างที่อธิบายไปว่าประโยชน์ของสเต็มเซลล์ยังสามารถนำมาใช้ด้านการชะลอวัยได้ ซึ่งวิธียอดนิยมคือการ “ฉีดสเต็มเซลล์” (ส่วนใหญ่นิยมใช้สเต็มเซลล์ประเภท MSC Cell) ผลดีของการฉีดสเต็มเซลล์ที่เป็นจุดเด่นสำคัญคือสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ในหลายมิติไม่ว่าจะเป็น

  • ช่วยลดการอักเสบ ลดเลือนริ้วรอย รักษารอยแผลเป็น ความหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ซ่อมแซม ฟื้นฟูสภาพผิวเก่าที่เสียหายหรือเสื่อมสภาพ
  • เพิ่มความแข็งแรงให้กับชั้นผิวแท้
  • เพิ่มจำนวนเซลล์ Fibroblast เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน อันเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย
  • กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ Growth Factor และ Cytokines ผิวจึงเกิดความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น แข็งแรง และยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย

สเต็มเซลล์เหมาะและไม่เหมาะกับใคร

แม้การฉีดสเต็มเซลล์รักษาฝ้า แก้ปัญหาริ้วรอย ความหย่อนคล้อย ความหมองคล้ำต่าง ๆ จะเป็นวิธีที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้เทคนิคนี้ได้ทั้งหมด ลองเช็กร่างกายตนเองกันสักนิดว่าเหมาะกับการฉีดสเต็มเซลล์หรือไม่?

● การฉีดสเต็มเซลล์เหมาะกับใคร?

ผู้ที่ต้องการเพิ่มความกระชับ เต่งตึง ความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอย ความหมองคล้ำ ความเสื่อมโทรมต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ภายนอก อยากให้ผิวดูดี กระจ่างใส แข็งแรงมากขึ้นด้วยการให้สเต็มเซลล์เข้าไปกระตุ้นการเจริญเติบโต
ผู้ป่วยบางโรคที่ต้องการการรักษาหรือบรรเทาความรุนแรงให้ทุเลาลง เช่น โรคไขข้ออักเสบ โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรครูมาตอยด์ โรคเกี่ยวกับไขข้อเสื่อม โรคในระบบทางเดินประสาท อาการไขสันหลังอักเสบ อัมพฤกษ์ อัมพาต จอประสาทตาเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน เป็นต้น
● การฉีดสเต็มเซลล์ไม่เหมาะกับใคร

ผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะสเต็มเซลล์จะผลิต Growth Factor จึงอาจเป็นสาเหตุให้เซลล์มะเร็งพัฒนาเร็วขึ้น
ผู้ที่มีปัญหาแพ้ภูมิตัวเองในบางราย ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาตามความเหมาะสม
ผู้ที่ร่างกายไม่พร้อมสำหรับการฉีดสเต็มเซลล์ เมื่อฉีดแล้วอาจมีอาการเจ็บป่วยได้

สเต็มเซลล์ฉีดตรงไหนได้บ้าง

1. การฉีดสเต็มเซลล์เข้าผิวหน้าโดยตรง

การฉีดสเต็มเซลล์ที่หน้าโดยตรงเป็นการนำสเต็มเซลล์ฉีดเข้าสู่ผิวหน้าโดยตรงเพื่อทำหน้าที่กระตุ้นและฟื้นฟูสภาพผิวให้ชุ่มชื้น แข็งแรง กระจ่างใสมากขึ้น พร้อมทั้งลดเลือนริ้วรอย ความหมองคล้ำ แผลเป็น จุดด่างดำ ฝ้า กระ เพิ่มความกระชับให้กับรูขุมขน แลดูผิวหน้าเปล่งปลั่ง มีออร่า โดยปริมาณการฉีดมักเริ่มที่ 5 ล้านเซลล์

2. การฉีดสเต็มเซลล์เข้าหลอดเลือดดำ

การฉีดเข้าหลอดเลือดดำจะใช้การฉีดสเต็มเซลล์เข้าสู่หลอดเลือดดำเพื่อให้ผิวเกิดการปรับสมดุล เต่งตึง กระชับ ลดเลือนริ้วรอย ผิวมีน้ำมีนวลมากขึ้น กระจ่างใส ซึ่งไม่ใช่แค่บริเวณผิวหน้าแต่หมายถึงผิวพรรณทั่วทั้งร่างกาย และยังมีส่วนป้องกันอาการผื่นคัน รวมถึงผื่นจากการแพ้ต่าง ๆ ได้อีกด้วย โดยปริมาณการฉีดจะอยู่ที่ประมาณ 15-20 ล้านเซลล์

ผลข้างเคียงของการฉีดสเต็มเซลล์

เป็นเรื่องปกติเมื่อเลือกใช้วิธีใดในการรักษาหรือแก้ไขปัญหาก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งผลข้างเคียงจากการฉีดสเต็มเซลล์ที่จะบอกต่อไปนี้มีโอกาสเกิดกับแค่บางคนเท่านั้น โดยขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของร่างกาย ซึ่งส่วนมากหากไม่ได้มีปัญหาเรื่องโรคสุ่มเสี่ยง เช่น โรคมะเร็ง โรคแพ้ภูมิตัวเอง ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมักมีสาเหตุจากการเตรียมร่างกายไม่พร้อมหรือบางครั้งสเต็มเซลล์แบ่งตัวออกมาเยอะเกินไปจนเกิดอาการป่วยหรือแพ้สเต็มเซลล์

วิธีลดความเสี่ยงสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สเต็มเซลล์หน้าใส คือการปรึกษากับแพทย์ของคลินิกเสริมความงามเพื่อขอคำแนะนำต่าง ๆ เช่น การเตรียมร่างกาย เช็กอาการเจ็บป่วยจากโรคประจำตัว เป็นต้น

ดูแลตัวเองอย่างไรหลังฉีดสเต็มเซลล์

การดูแลตัวเองหลังฉีดสเต็มเซลล์เป็นเรื่องสำคัญและควรทำอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงพร้อมได้ผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจ โดยสามารถทำได้ ดังนี้

  • เลือกทานอาหารอ่อน ๆ ลดอาหารไขมันสูง ของทอดต่าง ๆ อย่างน้อย 3 วัน
  • งดการเล่นกีฬากลางแจ้ง หรืออยู่พื้นที่กลางแจ้งแดดจัดอย่างน้อย 1-2 วัน
  • หลีกเลี่ยงการไปยังสถานที่ที่อาจได้รับเชื้อโรคอย่างน้อย 3 วัน
  • หลีกเลี่ยงการทำคีเลชั่นหลังฉีดสเต็มเซลล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงหัตถการอื่น ๆ ทุกประเภท เช่น การดูดไขมัน การผ่าตัด อย่างน้อย 2 สัปดาห์

การใช้สเต็มเซลล์ชะลอวัยถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากให้ตนเองแลดูอ่อนกว่าวัย มีผิวขาวสว่างกระจ่างใส ริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นจากสิว รวมถึงความหมองคล้ำต่าง ๆ จางลงจนคนรอบข้างสังเกตเห็น เพิ่มความมั่นใจในแบบที่คุ้นเคยได้อีกครั้ง นี่คือเทคนิคหัตถการทางการแพทย์ที่ได้รับความนิยมสูง คุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อผิวพรรณของตนเอง อย่างไรก็ตามต้องปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจากคลินิกเสริมความงามที่น่าเชื่อถือ ไว้ใจได้ และมีประสบการณ์ยาวนานที่พร้อมนำพาความสวยและความมั่นใจให้กลับคืนอีกครั้ง

ที่มา
Dr. Peeraya Likitkiattikul
Medical esthetic & anti-aging specialist

More
articles