การนำเซลล์ต้นกำเนิดชนิดมีเซนไคม์มาใช้รักษาผู้ป่วย
สเต็มเซลล์ (STEM CELLS)
- เซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์อ่อนที่พร้อมแบ่งตัวเองขึ้นมาใหม่
- ซึ่งมีศักยภาพที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ของร่างกาย เพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งในร่างกายของมนุษย์
- แต่ละเซลล์จะพัฒนาเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จำเพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง [1].
ตัวอย่างการรักษาโรคด้วยการใช้เซลล์ต้นกำเนิดชนิด MSCs
- AUTISM SPECTRUM DISORDER (ASD)
- CEREBRAL PALSY (CP)
- HEART FAILURE
- MULTIPLE SCLEROSIS (MS)
- SYSTEMIC LUPUS ERYTHEMATOSUS (SLE)
- TYPE 1 DIABETES MELLITUS (T1DM)
- TYPE 2 DIABETES MELLITUS (T2DM)
1 AUTISM SPECTRUM DISORDER (ASD)
คือ กลุ่มอาการที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางด้านพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร การเข้าสังคม การมีความสนใจซ้ำ หรือมีรูปแบบการกระทำเป็นแบบแผนจำกัดในเรื่องเดิม
สาเหตุการเกิดโรค ASD
สมมุตติฐานของการเกิดโรค 3 สาเหตุ
- Neuroinflammation
- Microglial activation
- Immune dysregulation
In preclinical models : hCT-MSCs ยับยั้งการตอบสนอง T-cells และ ลดกิจกรรม microglial
- กลุ่มทดลอง: เด็ก 12 คน อายุ 4-9 ปี ที่เป็นโรค ASD
- การทดลอง: Intravenous (IV) infusions human umbilical cord tissue mesenchymal stromal cells (hCT-MSCs) Doses: 2.5 million cells/kg (1-3 ครั้ง) ทุกๆ 2 เดือน
- ผลการทดลอง:
– เด็ก 5 ใน 12 คน มีการสร้างแอนติบอดีต่อ HLA class 1
– เด็ก 6 ใน 12 คน พบว่ามีอาการของโรค ASD ลดลง
การฉีด MSC ที่ได้รับมาจากผู้อื่น มีความปลอดภัยต่อเด็กที่ป่วยเป็น ASD [2]
2 CEREBRAL PALSY (CP)
เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการบาดเจ็บอย่างถาวรในสมองที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการเคลื่อนไหวและท่าทาง โดยที่การบาดเจ็บในสมองนั้นจะต้องเป็นชนิดคงที่ไม่รุนแรงมากขึ้น
- กลุ่มทดลอง: 56 คน ที่เป็นโรค CP
- แบ่ง 27 คน รักษาด้วย hUCB-MSC
- แบ่ง 27 คน รักษายาหลอก (กลุ่มควบคุม)
- การทดลอง: Intravenous (IV) infusions human umbilical cord blood mesenchymal cells (hUCB- MSCs)
Doses: 50 million cells/dose (4 ครั้ง) - ผลการทดลอง:
– พบว่า กลุ่มที่ได้ฉีด hUCB-MSC factors GMFM-88 scores, CFA, EEG, MRI ดีขึ้น ตั้งแต่ 3 ไปจนถึง 24 เดือนหลังจากการติดตามผล
การฉีด MSC ที่ได้รับมาจากผู้อื่น มีความปลอดภัยต่อผู้ป่วยเป็น CP [3]
3 HEART FAILURE
ภาวะหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)
คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอจนส่งผลให้อวัยวะต่างเกิดการขาดออกซิเจน
- กลุ่มทดลอง: 30 คน ที่เป็นโรค heart failure
- แบ่ง 15 คน รักษาด้วย UC-MSC
- แบ่ง15 คน รักษาด้วยยาหลอก (กลุ่มควบคุม)
- การทดลอง: Intravenous (IV) infusions Umbilical Cord Mesenchymal Stem Cells (UC-MSCs)
Doses: 1 million cells/kg of body weight - ผลการทดลอง:
– กลุ่มที่ได้ฉีด UC-MSC ตรวจวัดด้วยเครื่อง cardiac MRI พบว่าการทำงานของหัวใจทำงานได้ดีขึ้น ตั้งแต่ 3-24 เดือนหลังจากได้รับการรักษา
– ติดตามอาการ 24 เดือนหลังจากการรักษาพบว่า กลุ่มทำลองไม่เกิดความผิดปกติใดๆ แสดงให้เห็นว่า UC-MSC มีความปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียงต่อคนไข้ [4]
4 MULTIPLE SCLEROSIS (MS)
โรคเอ็มเอสเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อปลอกหุ้มประสาทหรือมัยอิลิน (myelin sheath) ในระบบประสาทส่วนกลาง
ซึ่งหากเกิดการอักเสบและทำลายปลอกหุ้มประสาทบ่อยครั้งจะส่งผลให้เกิดแผลเป็นสะสมขึ้นหลายบริเวณในระบบประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติในรูปแบบต่างๆ ขึ้นกับตำแหน่งที่มีการทำลายปลอกประสาทและอาจนำไปสู่ภาวะทุพพลภาพทางระบบประสาทในระยะยาวได้
- กลุ่มทดลอง: 20 คน อายุ 24-55 ปี ที่เป็นโรค MS
- การทดลอง: Intravenous (IV) infusions human umbilical cord blood mesenchymal cells (UC-MSCs)
Doses: 20 million cells (1 ครั้ง) - ผลการทดลอง:
- กลุ่มที่ฉีด UC-MSCs พบว่าอาการต่างๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 1 เดือนหลังการรักษา เช่น
- อาการปวดศีรษะหรือเหนื่อยล้า
- การทำงานของลำไส้, กระเพาะปัสสาวะ และ ความผิดปกติทางเพศ
- ติดตามอาการ 1 ปีหลังการรักษา ตรวจสอบด้วยเครื่องสแกน MRI ของสมองและไขสันหลังสวนคอ ผู้ป่วย 83.3% ไม่พบรอยต่อของโรค [5]
5 SYSTEMIC LUPUS ERYTHEMATOSUS (SLE)
คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน โดยภูมิคุ้มกันของคน ๆ นั้นทำลายเนื้อเยื่อภายในร่างกายของตัวเองจนเกิดการอักเสบและสามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับอวัยวะได้ทั่วร่างกาย พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชายในช่วงวัยเจริญพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยร่วมอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคได้ เช่น กรรมพันธุ์ (อาจจะมีสารพันธุกรรมบางชนิดที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง) ส่วนปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคกำเริบมากขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อภายในร่างกาย แสงแดด เป็นต้น
- กลุ่มทดลอง: 6 คน อายุ 26-48 ปี ที่เป็นโรค SLE
- การทดลอง: Intravenous (IV) infusions umbilical cord Mesenchymal Stem Cells (UC-MSCs)
Doses: 1 million cells/kg of body weight - ผลการทดลอง:
- กลุ่มที่ฉีด 5 ใน 6 คน มีการเพิ่มขึ้นของ B cells
- 2 ใน 6 คน มีการเพิ่มขึ้นของ Helios+Treg cells และ GARP-TGFβ complexes
- การทดลองระยะที่ 1 นี้แสดงให้เห็นว่าการฉีด UC-MSC มีความปลอดภัยสูงและอาจมีประสิทธิภาพในโรคSLE การเปลี่ยนแปลง B cells และ GARP-TGFβ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลไกที่ MSCs อาจส่งผลกระทบต่อโรค [6]
6 TYPE 1 DIABETES MELLITUS (T1DM)
เป็นโรคเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากเซลล์ในตับอ่อนถูกทำลายจนไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ เมื่อร่างกายขาดอินซูลินจึงเกิดปัญหาในการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ในร่างกายผ่านทางระบบไหลเวียนโลหิต
ทำให้เกิดการสะสมของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย หิวหรือกระหายน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย หรืออาการอื่น ๆ
- กลุ่มทดลอง: 29 คน ที่เป็นโรค T1DM
แบ่ง 15 คน รักษาด้วย Wharton’s jelly-derived mesenchymal stem cells (WJ-MSC)
แบ่ง14 คน รักษาด้วย normal saline based on insulin intensive therapy - การทดลอง: รักษาด้วย Wharton’s jelly-derived mesenchymal stem cells (WJ-MSC)
Doses: 15-32 million cells - ผลการทดลอง:
- กลุ่มที่รักษาด้วย WJ-MSC พบว่าปริมาณการใช้อินซูลินในชีวิตประจำวันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในเดือนที่ 6 เดือน
- ค่าน้ำตาลเฉลี่ยที่สะสมในเลือดเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในเดือนที่ 9
- ปริมาณกลูโคสหลังมื้ออาหารเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในเดือนที่ 9
- ตับอ่อนสามารถสร้างอินซูลินได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ 6 เดือน
- เมื่อผ่านไป 24 เดือนพบว่าผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงหลังจากการรักษา [7]
7 TYPE 2 DIABETES MELLITUS (T2DM)
คือตับอ่อนผลิตอินสุลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่นำน้ำตาลและไขมันเข้าไปในเซลได้ตามปกติแต่มีเหตุจากการได้รับไขมันจากอาหารมากเกินไปจนอินสุลินนำไขมันเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์มากเกินไป ทำให้เซลล์ร่างกายดื้อต่ออินซูลินไม่รับเอาทั้งน้ำตาลและทั้งไขมันเข้าไปในเซลล์ (insulin resistance) ทำให้น้ำตาลคั่งค้างอยู่ในกระแสเลือดถึงแม้ว่าตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ตามปกติ
- กลุ่มทดลอง: 16 คน ที่เป็นโรค T2DM
อายุเฉลี่ย 53 ปี ชาย 12 คน หญิง 4 คน - การทดลอง: Intravenous (IV) infusions human umbilical cord-mesenchymal stem cell (hUC-MSC)
Doses: 1 million cells/kg of body weight (3 ครั้ง) - ผลการทดลอง:
- กลุ่มที่รักษาด้วย hUC-MSC พบว่าปริมาณกลูโคสขณะอาหารเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในวันที่ 14
- ค่าน้ำตาลเฉลี่ยที่สะสมในเลือดเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในวันที่ 84
- การทำงานของเบต้าเซลล์ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในวันที่ 28
- ตับอ่อนสามารถสร้างอินซูลินได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่ 6 เดือน
- เมื่อผ่านไป 28 วันพบว่าผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงหลังจากการรักษา [8]
ที่มา
- Marshak, D. R.; Gardner, R. L.; Gottlieb, D. I., Stem cell biology. 2001.
- Sun, J.M., et al., Infusion of human umbilical cord tissue mesenchymal stromal cells in children with autism spectrum disorder. Stem Cells Transl Med, 2020. 9(10): p. 1137-1146.
- Huang, L., et al., A Randomized, Placebo-Controlled Trial of Human Umbilical Cord Blood Mesenchymal Stem Cell Infusion for Children With Cerebral Palsy. Cell Transplant, 2018. 27(2): p. 325-334.
- Bartolucci, J., et al., Safety and Efficacy of the Intravenous Infusion of Umbilical Cord Mesenchymal Stem Cells in Patients With Heart Failure: A Phase 1/2 Randomized Controlled Trial (RIMECARD Trial [Randomized Clinical Trial of Intravenous Infusion Umbilical Cord Mesenchymal Stem Cells on Cardiopathy]). Circ Res, 2017. 121(10): p. 1192-1204.
- Riordan, N.H., et al., Clinical feasibility of umbilical cord tissue-derived mesenchymal stem cells in the treatment of multiple sclerosis. J Transl Med, 2018. 16(1): p. 57.
- Kamen, D.L., et al., Safety, immunological effects and clinical response in a phase I trial of umbilical cord mesenchymal stromal cells in patients with treatment refractory SLE. Lupus Sci Med, 2022. 9(1): p. e000704.
- Hu, J., et al., Long term effects of the implantation of Wharton’s jelly-derived mesenchymal stem cells from the umbilical cord for newly-onset type 1 diabetes mellitus. Endocr J, 2013. 60(3): p. 347-57.
- Lian, X.F., et al., Effectiveness and safety of human umbilical cord-mesenchymal stem cells for treating type 2 diabetes mellitus. World J Diabetes, 2022. 13(10): p. 877-887.